เรากำลังวิ่งตามอะไรกัน...ในชีวิต
มีเรื่องเล่าอยู่เรื่องหนึ่งว่า ในวัดนั้นมีหลวงพ่อรูปหนึ่งชอบทำอะไรแปลกๆ วันหนึ่งพวกคนกรุงเทพฯ ได้เอากฐินไปทอดที่วัด จัดงานกันใหญ่โต มีทั้งหนังกลางแปลง ลิเก วงดนตรี ผู้คนแห่กันมามืดฟ้ามัวดิน เพื่อมาเที่ยวงาน ก่อนทอดกฐิน ผู้คนมารวมตัวกันที่ศาลาหลวงพ่อ ได้เรียก เด็กวัดคนหนึ่งให้มาหา บอกให้ไปเอาเนื้อจากโรงครัว มาก้อนหนึ่ง แล้วเอาเชือกมาด้วย จากนั้น หลวงพ่อได้เอาเนื้อก้อนนั้นผูกติดกับหลังหมา ผูกเสร็จแล้ว ก็ปล่อยหมาไป หมาเห็นเนื้ออยู่บนหลัง ก็ไล่งับ พอหัวโดดงับ ตัวก็ขยับหนี เพราะหมามันกัดหลังตัวเองไม่ถึง ยิ่งโดดงับเร็วเท่าไหร่ ก้อนเนื้อก็หนีเร็วเท่านั้น โดดไม่หยุด เนื้อก็หนีไม่หยุด น่าสงสารหมามากโดดอยู่นาน งับเท่าไหร่เนื้อก็ไม่เข้าปากซักที ผู้คนบนศาลาพากันหัวเราะชอบใจ หัวเราะเยาะหมาว่าทำไมมันถึงโง่อย่างนี้ ไล่งับเนื้อที่ตัวเอง ไม่มีทางไล่ตามทัน ตลอดชีวิต หลวงพ่อมองดูด้วยความสนุกสนานจนพอใจแล้ว ก็แก้เชือกออกจากหลังหมา
แล้วหันมาพูดกับผู้คนว่า.....
มนุษย์เรามีความรู้สึกว่า ตัวเองบกพร่อง ตัวเองไม่เต็ม ต้องเติมตลอดเวลา เติมไม่หยุดเพื่อให้ตัวเองเต็ม ต้องไปหาซื้อเสื้อผ้าที่สวยที่สุด ที่ทันสมัยที่สุดใส่ ดีใจได้เดือนเดียว มีเสื้อผ้าออกใหม่ สวยกว่า ทันสมัยกว่า อยากได้โทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ ซื้อแล้ว 3 เดือนรุ่นใหม่ก็โผล่มาอีกแล้ว ซื้อคอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ ที่ทันสมัยที่สุด 2 เดือนต่อมา มีรุ่นใหม่ออกมา ของเราตกรุ่นอีก ซื้อรถเบ้นซ์ ที่ทันสมัยที่สุด แพงที่สุด ขับได้ 6 เดือน มีรุ่นใหม่ โผล่มาอีก ทันสมัยกว่า แพงกว่า
เราต้องก้มหน้าก้มตาทำงานกันทั้งวันทั้งคืน หาเงินมาเพื่อทำให้ตัวเองทันสมัย ซื้อเสื้อผ้าใหม่ โทรศัพท์ใหม่ คอมพิวเตอร์ใหม่ รถคันใหม่ เหน็ดเหนื่อยแสนสาหัส เพื่อไม่ให้ตัวเองตกรุ่น ปัจจุบันเรากำลังไล่งับความทันสมัย เหมือนหมาที่ไล่งับเนื้อบนหลังมัน ต่อให้ไล่งับทั้งชีวิตก็ไม่มีทางตามทัน
น่าสงสารไหมโยม.........
คนเต็มศาลา เมื่อกี้หัวเราะครึกครื้น ด่าว่าหมาโง่ ตอนนี้เงียบสนิท เหมือนไม่มีคนอยู่ ไม่รู้ว่า กำลังสงสารหมา หรือกำลังทบทวนความโง่ของตัวเองอยู่กันแน่
มีเรื่องเล่าอยู่เรื่องหนึ่งว่า ในวัดนั้นมีหลวงพ่อรูปหนึ่งชอบทำอะไรแปลกๆ วันหนึ่งพวกคนกรุงเทพฯ ได้เอากฐินไปทอดที่วัด จัดงานกันใหญ่โต มีทั้งหนังกลางแปลง ลิเก วงดนตรี ผู้คนแห่กันมามืดฟ้ามัวดิน เพื่อมาเที่ยวงาน ก่อนทอดกฐิน ผู้คนมารวมตัวกันที่ศาลาหลวงพ่อ ได้เรียก เด็กวัดคนหนึ่งให้มาหา บอกให้ไปเอาเนื้อจากโรงครัว มาก้อนหนึ่ง แล้วเอาเชือกมาด้วย จากนั้น หลวงพ่อได้เอาเนื้อก้อนนั้นผูกติดกับหลังหมา ผูกเสร็จแล้ว ก็ปล่อยหมาไป หมาเห็นเนื้ออยู่บนหลัง ก็ไล่งับ พอหัวโดดงับ ตัวก็ขยับหนี เพราะหมามันกัดหลังตัวเองไม่ถึง ยิ่งโดดงับเร็วเท่าไหร่ ก้อนเนื้อก็หนีเร็วเท่านั้น โดดไม่หยุด เนื้อก็หนีไม่หยุด น่าสงสารหมามากโดดอยู่นาน งับเท่าไหร่เนื้อก็ไม่เข้าปากซักที ผู้คนบนศาลาพากันหัวเราะชอบใจ หัวเราะเยาะหมาว่าทำไมมันถึงโง่อย่างนี้ ไล่งับเนื้อที่ตัวเอง ไม่มีทางไล่ตามทัน ตลอดชีวิต หลวงพ่อมองดูด้วยความสนุกสนานจนพอใจแล้ว ก็แก้เชือกออกจากหลังหมา
แล้วหันมาพูดกับผู้คนว่า.....
มนุษย์เรามีความรู้สึกว่า ตัวเองบกพร่อง ตัวเองไม่เต็ม ต้องเติมตลอดเวลา เติมไม่หยุดเพื่อให้ตัวเองเต็ม ต้องไปหาซื้อเสื้อผ้าที่สวยที่สุด ที่ทันสมัยที่สุดใส่ ดีใจได้เดือนเดียว มีเสื้อผ้าออกใหม่ สวยกว่า ทันสมัยกว่า อยากได้โทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ ซื้อแล้ว 3 เดือนรุ่นใหม่ก็โผล่มาอีกแล้ว ซื้อคอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ ที่ทันสมัยที่สุด 2 เดือนต่อมา มีรุ่นใหม่ออกมา ของเราตกรุ่นอีก ซื้อรถเบ้นซ์ ที่ทันสมัยที่สุด แพงที่สุด ขับได้ 6 เดือน มีรุ่นใหม่ โผล่มาอีก ทันสมัยกว่า แพงกว่า
เราต้องก้มหน้าก้มตาทำงานกันทั้งวันทั้งคืน หาเงินมาเพื่อทำให้ตัวเองทันสมัย ซื้อเสื้อผ้าใหม่ โทรศัพท์ใหม่ คอมพิวเตอร์ใหม่ รถคันใหม่ เหน็ดเหนื่อยแสนสาหัส เพื่อไม่ให้ตัวเองตกรุ่น ปัจจุบันเรากำลังไล่งับความทันสมัย เหมือนหมาที่ไล่งับเนื้อบนหลังมัน ต่อให้ไล่งับทั้งชีวิตก็ไม่มีทางตามทัน
น่าสงสารไหมโยม.........
คนเต็มศาลา เมื่อกี้หัวเราะครึกครื้น ด่าว่าหมาโง่ ตอนนี้เงียบสนิท เหมือนไม่มีคนอยู่ ไม่รู้ว่า กำลังสงสารหมา หรือกำลังทบทวนความโง่ของตัวเองอยู่กันแน่